ผ้าม่านลายหลุยส์ ตกแต่งบ้านในสไตล์ Classic Victoria

ผ้าม่านลายหลุยส์ 🧡🧡🧡สัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย ดูเลิศหรู มีระดับ ⚡⚡⚡

ผ้าม่านลายหลุยส์ คืออะไร ดีอย่างไร? ผ้าม่านลายหลุยส์ “Damask” คือผ้าที่ถักทอด้วยลายรูปทรง “Diamond” หรือลายข้าวหลามตัด บางลายจะมีรูปทรงคล้ายกับรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน “Rhombus” ลวดลายจะไม่ใช่เป็นเส้นตรง แต่จะประกอบด้วยสัญลักษณ์และรูปภาพต่างๆ รูปสัญลักษณ์ต่างๆนี้จะนำมาประกอบกันเพื่อสร้างรูปทรงดังกล่าว ซึ่งมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ผ้าม่านลายหลุยส์ทำให้หน้าตาบ้านดูความโดดเด่น ออกแนวคลาสสิก มีสง่าราศี

ลายหลุยส์ใช้สัญลักษณ์มากมาย: ลายหลุยส์จะมีคุณสมบัติ “Ambigram” หมายถึง ไม่ว่าเราจะมองที่ผ้าม่านจากทางกระจกหรือจากตาเปล่า ลวดลายบนผ้าจะดูเหมือนกัน ดีไซน์บนผ้าม่านลายหลุยส์จะมีหลายสไตล์ หลายขนาด และจะใช้สัญลักษณ์และรูปภาพหลายประเภท อย่างเช่น ลายดอกไม้ ลายกนก ลายสัตว์ ลายผลไม้ ลายใบไม้ ลายบัว เป็นต้น เส้นต่างๆที่ใช้ในการวาดลวดลายผ้าจะมีความโค้งงอที่สวยงาม เป็นดีไซน์ที่มีเสน่ห์แห่งความ “Luxury” ดูเลิศหรูทีเดียว

การเลือกผ้าม่านลายหลุยส์ให้เข้ากับห้อง: ผ้าม่านลายหลุยส์จะมีขนาดเล็ก (ลายถี่) และขนาดใหญ่ (ลายห่าง) ลายขนาดเล็กจะเหมาะกับหน้าต่างหรือประตูบานเล็ก ไม่ว่าจะใช้ผ้าม่านลายไหน ถ้าห้องมีขนาดไม่ใหญ่มาก ควรเลือกผ้าม่านลายเล็กๆ เพื่อช่วยลวงตาให้ห้องดูกว้าง ปลอดโปร่ง ผ้าม่านลายใหญ่ๆจะเหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้ลวดลายผ้ามีสัดส่วนสมดุลและเหมาะสม ลายหลุยส์ที่มีรูปภาพดอกไม้หรือใบไม้จะเหมาะกับการตกแต่งแนววินเทจ ลายหลุยส์ที่ใช้วงกลมจะเหมาะกับห้องที่มีรูปทรงกลม เป็นต้น

การเลือกสีผ้าม่านลายหลุยส์: ส่วนใหญ่ ผ้าม่านลายหลุยส์จะมีสีทูโทน สีลวดลายจะเป็นสีหนึ่ง ส่วนสีพื้นจะเป็นอีกสีหนึ่ง การเลือกสีควรเลือกให้สอดคล้องกับสีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับในห้อง อย่างเช่น ถ้าใช้เฟอร์สิเจอร์ลายไม้ ผ้าม่านลายหลุยส์สีน้ำตาลหรือสีเอิร์ธโทนจะดูเหมาะสม ถ้าใช้เฟอร์นิเจอร์สีขาวหรือสีครีม เราสามารถเลือกผ้าม่านสีอะไรก็ได้ ในการเลือกสีผ้าม่าน ควรเลือกให้สีสันภายในห้องมีความสมดุล ไม่ฉูดฉาด และไม่จืดเกินไป ถ้าใช้ผ้าม่านสีเดียวกันกับผนังห้อง อาจทำให้ห้องดูขาดสีสันได้ สีสันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ ภายในห้อง ทำให้ห้องดูสดใส “Lively” มีความร่าเริงแจ่มใส นักออกแบบ (หรือ มัณฑนากร) จะมีกฎที่ใช้เป็นประจำสำหรับการปรับสมดุลสีสันภายในห้อง กฎนั้นก็คือ 60-30-10 นั่นเอง อ่านเกี่ยวกับกฎสีนี้ได้ตามลิงค์

ผ้าลายหลุยส์ เหมาะกับผ้าม่านหลายสไตล์: โดยทั่วไป ผ้าลายหลุยส์มักจะนิยมใช้กับผ้าม่านตาไก่ ผ้าม่านจีบ ผ้าม่านลอน ผ้าม่านพับ และผ้าม่านหลุยส์ และจะมีหลายคนที่เลือกเย็บผ้าม่านคอกระเช้าด้วยผ้าลายหลุยส์ด้วยเช่นกัน (ผ้าม่านคอกระเช้าเป็นสไตล์ชิวล์ๆ เน้น “Informal” เป็นกันเอง เหมาะกับห้องนั่งเล่นหรือห้องนอน ส่วนลายหลุยส์เป็นสไตล์ภูมิฐาน “Elegant” ดูหรูหรา สองสไตล์นี้จึงไม่ค่อยแมทช์กันมากนัก) การตัดเย็บผ้าม่านจะต้องจัดวางลายผ้าให้เข้ากับดีไซน์หลุยส์ เพื่อให้ลอนผ้าม่านสอดคล้องกับลายผ้าอย่างลงตัวที่สุด

จัดลายหลุยส์ตามลอนผ้าม่าน: ในการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ผ้าม่านตาไก่จะเป็นรูปแบบผ้าม่านที่นิยมใช้มากที่สุด และลายหลุยส์ก็จะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆด้วยเช่นกัน ร่วมกับผ้าม่านสีพื้นและผ้าม่านลายริ้ว การตัดเย็บผ้าม่านตาไก่ด้วยผ้าลายหลุยส์จะเน้นการจัดลอนเป็นพิเศษ เพราะลายหลุยส์จะต้องลงล็อกกับคลื่นลอน (คลื่นลอนจะประกอบด้วยสันลอนและท้องลอน) เพื่อให้ลายผ้าม่านมีความสมดุล ดูมีระเบียบ

เลือกผ้าม่านหน้ากว้างพิเศษ: การเลือกใช้ผ้าหน้ากว้างพิเศษ (กว้าง 2.40 เมตร ขึ้นไป) จะทำให้สามารถตัดเย็บผ้าม่านแบบไร้รอยต่อได้ อ่านข้อดีต่างๆเกี่ยวกับผ้าม่านไร้รอยต่อได้ตามลิงค์ ผ้าม่านลายหลุยส์จะดูดีที่สุดเวลาลวดลายมีความต่อเนื่องตลอดผืน ไม่ขาดช่วง ถ้าเลือกผ้าหน้าแคบ การตัดต่อผ้าจะทำให้ลวดลายขาดตอน ลายหลุยส์จะดูไม่ค่อยสวยมากนัก เพราะฉะนั้นถ้าจะใช้ผ้าหน้าแคบจริงๆ (สมมุติว่าลายผ้าที่ชอบจะมีแต่แบบหน้าแคบ) ต้องระบุให้ช่างเย็บผ้าม่านตัดต่อชิ้นผ้าตามดีไซน์ และให้ลวดลายต่อเนื่องกันมากที่สุด การจัดวางลายผ้าตามดีไซน์จะใช้ผ้ามากกว่าปกติ แต่สำหรับผ้าม่านลายหลุยส์ การจัดลายผ้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะต้องให้ลายผ้าสอดคล้องกับลอนผ้าม่าน เพื่อให้ได้ความสวยงามที่ลงตัว

ประวัติการใช้ผ้าม่านลายหลุยส์: การใช้ผ้าลายหลุยส์ในการตัดเย็บผ้าม่านเริ่มต้นมานานกว่า 1000 ปีที่แล้ว คนประเทศจีนเป็นผู้ริเริ่มนิยมใช้ลวดลายหลุยส์ในการถักทอผ้า สมัยก่อน การถักทอผ้าจะทำด้วยมือ และลายหลุยส์จะเป็นลายที่ทอยากกว่าลายผ้าอื่นๆ ลายหลุยส์จะมีความละเอียดอ่อนที่ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงกว่าผ้าลายอื่นๆ เพราะเหตุผลนี้ จะมีเฉพาะคนรวยเท่านั้นที่สามารถสั่งซื้อผ้าลายนี้ได้ ลายหลุยส์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย

ลายหลุยส์ สัญลักษณ์ของคำว่า “Luxury”: ในสมัยก่อน กลุ่ม Upper Class หรือชนชั้นสูงในสังคมมักจะเลือกใช้ลายหลุยส์สำหรับงานตกแต่งทุกประเภท โดยเฉพาะกับผลิตภันฑ์สิ่งทอ ผ้าม่านจะเลือกเป็นลายหลุยส์ ผ้าโซฟาก็จะเลือกเป็นลายหลุยส์ แม้กระทั้งพรมปูพื้นก็จะใช้เป็นลายหลุยส์ด้วยเช่นกัน ถึงทุกวันนี้ ลายหลุยส์ยังคงเป็นลวดลายที่นิยมใช้กันอย่างมาก การผลิตผ้าสมัยนี้จะราคาถูกเพราะใช้เครื่องจักรโรงงาน ไม่ใช่เป็นงานฝีมือเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ต้นทุนในการทอผ้าลายหลุยส์ไม่สูงกว่าต้นทุนในการทอผ้าลายอื่นๆ เดี๋ยวนี้ ผ้าลายหลุยส์เป็นดีไซน์ที่ใช้กับประชากรโลกทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น 

ลายหลุยส์ ใช้กับวัสดุหลายประเภท: ลายหลุยส์เป็นดีไซน์ที่สามารถใช้กับผลิตภันฑ์หลายอย่าง นอกจากผลิตภันฑ์สิ่งทอแล้ว ลายหลุยส์ยังนิยมใช้กับวัสดุอื่นๆอีกมากมาย อย่างเช่น วอลเปเปอร์ แก้ว จาน กล่อง โคมไฟ โต๊ะ และเครื่องประดับต่างๆ ที่เป็นงานศิลปะ สำหรับผลิตภันฑ์สิ่งทอ ลายหลุยส์จะนิยมใช้กับผ้าม่าน ผ้าโปร่ง ผ้าคลุมเตียง ผ้าหุ้มเบาะ พรมปูพื้น ผ้าตัดเสื้อผ้า เป็นต้น

การตกแต่งสไตล์โมเดิร์น: ในยุคปัจจุบัน การตกแต่งอินทีเรียจะเน้นความสวยงามแบบเรียบง่าย “Simple” จึงจะนิยมใช้ผ้าม่านสีพื้นและผ้าม่านที่มีลวดลายในตัวหรือเป็นเทกเจอร์มากกว่า ผ้าม่านลายหลุยส์จะเหมาะกับการตกแต่งแนว Old Fashion หรือ สไตล์ Classic Victoria ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์การตกแต่งที่จะเน้นใช้ผ้าม่านและผ้าหุ้มเบาะลายหลุยส์เป็นพิเศษ ในตลาดผ้าจะมีผ้าลายหลุยส์ให้เลือกมากมาย เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่มีผู้ซื้อจำนวนมาก ผ้าลายหลุยส์ถือเป็นลายคลาสสิก ใช้ได้ตลอดกาล ไม่มีวันตกยุค

ร้านขายผ้า ATM Decor บริษัท แฟบริค พลัส มีจำหน่ายผ้าม่านและผ้าหุ้มเบาะลายหลุยส์หลากหลายชนิด ในส่วนของผ้าม่าน จะมีตัวเลือกทั้งแบบผ้าม่านกันแสง UV และแบบผ้าม่านปกติ ผ้าทำผ้าม่านลายหลุยส์จะมีให้เลือกมากมาย มีแบบหน้ากว้างพิเศษ 2.80 เมตร (110 นิ้ว) สำหรับตัดเย็บผ้าม่านแบบไร้รอยต่อ และแบบหน้ากว้าง 60 นิ้ว ซึ่งเป็นหน้ากว้างมาตรฐานในประเทศไทย ที่ร้านจะมีผ้าม่านโปร่งแสงลายหลุยส์ด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ที่ต้องการติดผ้าม่านสองชั้น ผ้าม่านลายหลุยส์จะมีหลายสี หลายดีไซน์ และหลายเนื้อผ้าให้เลือก จำหน่ายในราคาส่ง หน้าร้านขายผ้าอยู่ใจกลางตลาดพาหุรัด แหล่งต้นทุนและตลาดผ้าประเทศไทย Continue reading ผ้าม่านลายหลุยส์ ตกแต่งบ้านในสไตล์ Classic Victoria

ผ้าม่านลายริ้ว Classic เหมาะกับการตกแต่งทุกสไตล์

ผ้าม่านลายริ้ว 🧡🧡🧡 ดีอย่างไรบ้าง? ทำไมถึงเลือกติดผ้าม่านลายริ้ว? ผ้าม่านลายริ้วสามารถใช้กับห้องแบบไหน? วันนี้ เรามาดูกันว่าทำไมผ้าม่านลายริ้วถึงเป็นดีไซน์ยอดนิยม เป็นรองแค่เฉพาะผ้าม่านสีพื้นเท่านั้น

ผ้าม่านลายริ้วแบบอยู่ในม้วน ถ่ายจากหน้าร้านผ้าม่าน บริษัท แฟบริค พลัส ที่ถนนพาหุรัด ผ้าม่านลายริ้วจะมีแบบริ้วใหญ่และริ้วเล็ก ตัวอย่างในรูปภาพคือผ้าม่านชนิดทอด้วยเส้นด้ายป้องกันUVทั้งหมด 

ผ้าม่านลายริ้วสามารถใช้กับการตกแต่งทุกสไตล์ เช่น สไตล์คลาสสิก สไตล์คอนเท็มโพรารี่ สไตล์วินเทจ สไตล์มินิมอลลิสต์ ฯลฯ

ผ้าม่านลายริ้วสามารถใช้ควบคุมสีในห้องให้มีความสมดุล ผ้าม่านลายริ้วสามารถทำให้สีเฟอร์นิเจอร์เข้ากับสีเก้าอี้โซฟาหรือสีผ้าปูที่นอนได้ อย่างเช่น ผ้าม่านลายริ้วสีน้ำตาลและขาว สามารถทำให้สีเฟอร์นิเจอร์ไม้เข้ากับผ้าปูที่นอนสีขาว เป็นต้น

ผ้าม่านลายริ้วแนวตั้ง เหมาะกับห้องที่มีเพดานที่ไม่ค่อยสูง เพราะจะช่วยลวงตาให้ห้องดูสูงใหญ่กว่าความเป็นจริง การเลือกสีผ้าม่านควรเลือกให้เข้าคอนเซ็ปต์ เพื่อให้สีสันภายในห้องมีความสมดุล

ผ้าม่านลายริ้วไม่มีวันตกยุค ดีไซน์ลายริ้ว(และผ้าม่านสีพื้น)เป็นลายอมตะ ไม่มีวันตกยุค ดูคลาสสิกในทุกยุคทุกสมัย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้บ้านดูเก่าหรือไม่อินเทรนด์ เพราะผ้าม่านลายริ้วเป็นดีไซน์ทันสมัย ดูโมเดิร์นตลอดกาล

การเลือกสีผ้าม่านควรให้เข้ากับผนังห้องด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะผ้าม่านที่มีสีสดๆ อย่างเช่น ผ้าม่านสีชมพู สีทอง สีแดง เป็นต้น การนำผ้าทำม่านมาเย็บปลอกหมอนอิงจะทำให้ผ้าม่านดูเข้าคอนเซ็ปต์ยิ่งขึ้น

ผ้าม่านลายริ้วสามารถใช้กับทุกห้องในบ้าน อย่างเช่น ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องทานอาหาร ห้องนั่งเล่น เป็นต้น ทำให้สามารถใช้เข้าคอนเซ็ปต์กับสไตล์อินทีเรียดีไซน์ได้ง่าย

ผ้าม่านลายริ้วสามารถใช้กับห้องของผู้อาศัยทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถเลือกใช้ผ้าม่านลายริ้วได้ เพราะเป็นดีไซน์ที่ “Versatile” ใช้ได้กับทุกคนทุกวัยอย่างแท้จริง

ผ้าม่านลายริ้วมีหลากหลายแนว เช่น ลายริ้วใหญ่ ลายริ้วเล็ก ลายริ้วแนวขวาง ลายริ้วแนวตั้ง เป็นต้น ทำให้มีตัวเลือกมากมาย หลากหลายรูปแบบ

ผ้าม่านลายริ้วแนวขวางจะช่วยลวงตาให้บ้านดูกว้างใหญ่กว่าความเป็นจริง ผ้าม่านลายริ้วขวางจึงเหมาะใช้กับห้องที่มีขนาดแคบ เพราะจะทำให้ดูเหมือนมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น

ผ้าม่านลายริ้วแนวตั้งจะช่วยลวงตาให้ห้องดูสูงใหญ่กว่าความเป็นจริง และจะทำให้บ้านดูสูงใหญ่ตามไปด้วย เพราะฉะนั้น ผ้าม่านลายริ้วแนวตั้งจะเหมาะกับห้องที่มีเพดานเตี้ยหรือไม่ค่อยสูงมากนัก

ผ้าม่านลายริ้วแนวขวางจะช่วยลวงตาให้ห้องดูกว้างใหญ่กว่าความเป็นจริง และจะทำให้บ้านดูมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น เพราะฉะนั้น ผ้าม่านลายริ้วแนวขวางจะเหมาะกับห้องที่มีขนาดเล็กหรือไม่ค่อยกว้างมากนัก

ผ้าม่านลายริ้วทำให้บรรยากาศภายในห้องดูมีชีวิตชีวา “lively” และช่วยทำให้มีความรู้สึกสนุกสนาน เพราะเป็นดีไซน์ที่ดู “Vibrant” ลายริ้วยังเป็นดีไซน์ที่เพิ่มมิติให้กับห้องด้วยเช่นกัน

ผ้าม่านลายริ้ว Multi-Color จะทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูมีสีสัน มีชีวิตชีวามากขึ้น โดยเฉพาะสีอุ่นๆ อย่างเช่น สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีโอรส สีชมพู เป็นต้น

ผ้าม่านลายริ้วสามารถเข้ากับการตกแต่งแบบหรูหราอลังการและแบบเรียบง่าย เพราะจะมีแบบลายริ้ว Two Tone (สองสี) Three Tone (สามสี) และแบบ Multi-Color (หลายสี) การเลือกสีผ้าม่านควรให้เข้าคอนเซ็ปต์กับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ เพราะจะทำให้สีสันภายในบ้านมีความสมดุล

ร้านผ้าม่าน ATM Decor บริษัท แฟบริค พลัส มีจำหน่ายผ้าทำผ้าม่านลายริ้วให้เลือกหลายสี หลายสไตล์ มีทั้งผ้าม่านแบบทอด้วยเส้นด้าย High Density Black Yarn ป้องกันรังสี UV และแบบผ้าม่านปกติ ผ้าม่านลายริ้วจะมีแบบแนวตั้งและแนวขวาง แบบลายริ้วใหญ่และลายริ้วเล็ก ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผ้าม่านลายริ้วต่างๆได้ที่ 02 223 4828 ร้านผ้าม่านอยู่ติดถนนพาหุรัด ใจกลางแหล่งผ้าประเทศไทย Continue reading ผ้าม่านลายริ้ว Classic เหมาะกับการตกแต่งทุกสไตล์

ผ้าม่านไร้รอยต่อ ทันสมัย ลวดลายต่อเนื่อง เย็บง่าย

ผ้าม่านไร้รอยต่อ 🧡🧡🧡 สไตล์ใหม่ ดูสวยมีเสน่ห์ ไม่เห็นรอยต่อ ยกระดับความงาม

ผ้าม่านไร้รอยต่อจะมีลวดลายต่อเนื่องตลอดผืน จึงเหมาะกับผ้าม่านที่มีดีไซน์อย่างยิ่ง การจัดลอนผ้าม่านจะไปตามลวดลายผ้า การตัดเย็บผ้าม่านแบบไร้รอยต่อจะต้องใช้ผ้าหน้ากว้างพิเศษ เพราะหน้ากว้างของผ้าจะใช้เป็นส่วนสูงของผ้าม่าน ผ้าม่านที่ไม่มีรอยต่อจะเหมาะกับผ้าม่านสีพื้นด้วยเช่นกัน เพราะผ้าม่านสีพื้นจะเห็นรอยต่อได้ชัดเจน

ผ้าม่านไร้รอยต่อ คือ ผ้าม่านที่เย็บด้วยผ้าที่มีหน้ากว้างพิเศษ หน้าผ้าจะต้องมีความกว้างพอที่จะใช้เป็นความสูงของผ้าม่าน ทำให้สามารถเย็บเป็นผ้าม่านสำเร็จรูปได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องตัดต่อผ้าแต่อย่างใด ผ้าที่มีหน้ากว้างพอที่จะสามารถนำไปใช้เป็นส่วนสูงของผ้าม่านจะมีแบบหน้า 1.50 เมตร แบบหน้า 2 เมตร แบบหน้า 2.40 เมตร แบบหน้า 2.80 เมตร และแบบหน้า 3 เมตร ผ้าม่านที่มีหน้ากว้าง 1.50 เมตร จะสามารถใช้ได้เฉพาะสำหรับเย็บผ้าม่านหน้าต่าง และใช้ได้เฉพาะกับหน้าต่างที่มีความสูงไม่เกิน 1.50 เมตรเท่านั้น ผ้าเย็บผ้าม่านที่มีหน้ากว้างอย่างน้อย 2.4 เมตรขึ้นไปจะสามารถใช้เย็บม่านประตูได้แบบไร้รอยต่อ เพราะความสูงมาตรฐานของประตูจะไม่เกิน 2.3 เมตร

ผ้าม่านไร้รอยต่อจะไม่มีการตัดต่อผ้าม่าน: ผ้าม่านปกติจะเย็บแบบมีรอยต่อ เพราะจะต้องตัดผ้ามาต่อกันเป็นชิ้นๆ การตัดเย็บแบบผ้าม่านไร้รอยต่อจะทำให้ผ้าม่านดูสวยงามขึ้น ส่วนการคำนวณและการตัดเย็บผ้าม่านจะง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน

การจัดวางผ้าในการตัดเย็บผ้าม่าน: ปกติการตัดเย็บผ้าม่านจะใช้หน้าผ้าเป็นส่วนกว้างของผ้าม่าน ยกตัวอย่าง ถ้าเราซื้อผ้าทำผ้าม่านที่มีหน้ากว้าง 60 นิ้ว (1.50 เมตร) ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานในประเทศไทย เราจะใช้ตัดเย็บผ้าม่านที่มีขนาดความกว้าง 3 เมตร และความสูง 2 เมตร ได้อย่างไร?

การคำนวณผ้าม่านด้วยผ้าหน้า 1.50 เมตร (3 ขั้นตอน)

คำนวณความยาวของผ้าแต่ละชิ้น: ขั้นตอนแรก ก่อนจะตัดผ้าออกจากม้วน ต้องดูที่ความสูงของผ้าม่านที่ต้องการ เพราะเราจะตัดผ้าออกจากม้วนตามความสูงของผ้าม่าน ถ้าผ้าม่านมีความสูง 2 เมตร เราต้องตัดผ้า 2.4 เมตร ต่อชิ้น เพราะต้องเผื่อพับบนและพับล่างข้างละ 15-20 ซม. การเผื่อพับบนและพับล่างจะเพิ่มความยาวของผ้าแต่ละชิ้น ผ้าม่านจะต้องติดเหนือหน้าต่างอย่างน้อย 10 ซม และทิ้งลงมาใต้หน้าต่างอย่างน้อย 20 ซม ผ้าม่านสไตล์โมเดิร์นจะนิยมติดผ้าม่านถึงพื้น

คำนวณความกว้างของผ้าที่ต้องใช้: ในตัวอย่างข้างต้น ขนาดผ้าม่านที่เราต้องการมีความกว้าง 2 เมตร เราต้องนำไซส์นี้ไปคูณ 2.5 เพราะต้องเผื่อความพลิ้วไหวของผ้าม่าน เราใช้สูตรคูณ 2.5 สำหรับเย็บม่านจีบและม่านตาไก่ (ร้านผ้าม่านบางที่จะเลือกคูณ 2 แต่เราอยากให้ได้ความพลิ้วเต็มที่ เราจึงเลือกคูณ 2.5) พอนำขนาดความกว้างของผ้าม่านไปคูณ 2.5 ในกรณีนี้ คือ 3 เมตร x 2.5 = 7.5 เมตร เราจะเห็นได้ว่าผ้าม่านจะต้องมีความกว้าง 7.5 เมตร

*ถ้าเลือกคูณ 2 ผ้าม่านจะต้องมีความกว้าง 6 เมตร ขนาดที่คำนวณนี้จะเผื่อเย็บริมซ้ายและขวาแล้ว พอเย็บผ้าม่านแบบมีลอนสวยๆ ความกว้างผ้าม่านจะลดลงมาเหลือ 3 เมตร ตามที่ต้องการ

คำนวณจำนวนชิ้นผ้าที่ต้องใช้: จากขั้นตอนที่สอง เพื่อให้ได้ลอนตามที่ต้องการสำหรับผ้าม่านที่มีความกว้าง 3 เมตร เราจะต้องใช้ผ้ากว้างถึง 7.5 เมตร แต่ผ้าเย็บผ้าม่านที่เราเลือกมีหน้ากว้างเพียง 1.50 เมตร เพราะฉะนั้นจะต้องต่อผ้าม่าน 5 ชิ้น เพื่อให้ได้ครบ 7.5 เมตร (7.5 เมตร ÷ 1.5 เมตร/ชิ้น = 5 ชิ้น) เราจะต้องใช้ผ้าม่านทั้งหมด 12 เมตร (2.4 เมตร/ชิ้น x 5 ชิ้น = 12 เมตร)

*ถ้าเลือกคูณ 2 ผ้าม่านจะต้องใช้ 4 ชิ้น ( 6 เมตร ÷ 1.5 เมตร/ชิ้น = 4 ชิ้น) เราจะใช้ผ้าเพียง 9.6 เมตร (4 ชิ้น x 2.4 เมตร/ชิ้น = 9.6 เมตร)

ผ้าม่านแยกกลางหรือรวบข้าง?: โดยทั่วไป ผ้าม่านหน้าต่างหรือประตูที่กว้างถึง 3 เมตร จะแบ่งเป็นสองผืน หรือที่เรียกกันว่า “ผ้าม่านแยกกลาง” ต่างจาก “ผ้าม่านรวบข้าง” ที่ใช้ผ้าผืนเดียว ผ้าม่านรวบข้างจะเหมาะกับบานหน้าต่างหรือประตูที่แคบหรือมีความกว้างไม่เกิน 1.2 เมตร ในตัวอย่างผ้าม่านขนาดกว้างคูณสูง 3.0 x 2.0 เมตร เราต้องใช้ผ้าทั้งหมด 5 ชิ้น ผืนหนึ่งจะใช้ผ้า 2 ชิ้นครึ่ง (5 ชิ้น ÷ 2 ผืน = 2.5 ชิ้น/ผืน)

เครื่องคิดเลขผ้าม่าน คิดง่าย รวดเร็ว สะดวก: เพื่อความสะดวกในการคำนวณผ้าสำหรับเย็บผ้าม่าน เราสามารถใช้เครื่องคิดเลขผ้าม่านได้ เครื่องคิดเลขผ้าม่านนี้เป็นของ Sew Helpful สำหรับช่างตัดเย็บผ้าม่านมืออาชีพและช่างมือสมัครเล่น คำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ

ผ้าที่เราเลือกซื้อ สามารถใช้เย็บผ้าม่านไร้รอยต่อได้หรือไม่? วิธีการดูว่าผ้าม่านจะสามารถเย็บแบบไร้รอยต่อได้หรือไม่ คือ ต้องดูที่หน้ากว้างของผ้า ถ้าหน้ากว้างของผ้ามีความยาวพอที่จะปิดเกินความสูงของหน้าต่างหรือประตูบ้านได้ แสดงว่าสามารถเย็บผ้าม่านแบบไร้รอยต่อได้ ยกตัวอย่าง ถ้าประตูบ้านมีความสูง 2.2 เมตร และผ้าเย็บผ้าม่านที่ซื้อมีหน้ากว้างเพียง 2 เมตร เราจะไม่สามารถวางหน้าผ้าตามความสูงได้ เพราะฉะนั้นผ้าม่านจะต้องตัดต่อเป็นชิ้นๆ และการคำนวณจะเหมือนผ้าม่านหน้าปกติ แต่ถ้าประตูบ้านมีความสูง 2.2 เมตร และผ้าเย็บผ้าม่านที่ซื้อมีหน้ากว้าง 2.8 เมตร เราจะสามารถวางหน้าผ้าตามความสูงได้ แม้จะเผื่อพับบนและพับล่างแล้วก็ยังมีผ้าเหลือ

ผ้าม่านไร้รอยต่อจะเหมาะกับทั้งผ้าสีพื้นและผ้าที่มีลวดลาย เพราะรอยต่อจะเห็นได้ชัดเจนในผ้าสีพื้น สำหรับผ้าที่มีดีไซน์ ลวดลายผ้าอาจไม่ต่อเนื่องได้ ถ้าต้องการให้ต่อลายผ้า ช่างเย็บผ้าม่านจะต้องใช้ผ้าเพิ่ม

เหมาะกับผ้าม่านสีพื้น: ประการแรก คือ ความสวยงาม ผ้าม่านที่ไม่มีรอยต่อจะดูไฮคลาส “Elegant” มีระดับ เหมาะกับสถานที่ระดับไฮเอนด์ ผ้าม่านไร้รอยต่อจะเหมาะกับผ้าสีพื้นโดยเฉพาะ เพราะรอยต่อบนผ้าสีพื้นจะเห็นได้ชัดเจน

เหมาะกับผ้าม่านที่มีดีไซน์: ผ้าม่านหน้ากว้างพิเศษจะเหมาะสำหรับผ้าม่านที่มีลวดลายด้วยเช่นกัน เพราะผ้าม่านไร้รอยต่อจะมีดีไซน์ที่ต่อเนื่องตลอดผืน ลวดลายบนผ้าจะไม่ขาดช่วงหรือขาดตอน การที่ลวดลายไม่ขาดช่วงจะทำให้การจัดลอนง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน

คำนวณผ้าม่านง่าย: ประการที่สาม การคำนวณผ้าม่านจะง่าย จากข้างต้น จะเห็นได้ว่าการคำนวณผ้าม่านหน้ากว้างพิเศษง่ายกว่าผ้าหน้ากว้างปกติ เพราะเราไม่จำเป็นต้องคำนวณชิ้นผ้า ผ้าที่ใช้จะมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น (หรือสองชิ้นถ้าทำผ้าม่านแยกกลาง)

เย็บผ้าม่านสะดวก: ประการที่สี่ การตัดเย็บผ้าม่านจะง่ายและสะดวก เพราะไม่ต้องตัดต่อผ้า การเย็บผ้าม่านหน้าปกติจะต้องตัดผ้าเป็นชิ้นๆและนำมาต่อกัน แต่สำหรับผ้าหน้ากว้างพิเศษ เราตัดผ้าชิ้นเดียว และไม่มีการตัดต่อแต่อย่างใด

ร้านผ้าม่าน ATM Decor บริษัท แฟบริค พลัส จำหน่ายผ้าม่านหน้ากว้างพิเศษหลายชนิด มีให้เลือกหลายสีและหลายดีไซน์ เหมาะกับการตกแต่งบ้านทุกสไตล์ เราจำหน่ายทั้งผ้าหน้ากว้างปกติ 1.50 เมตร (60 นิ้ว) และผ้าหน้ากว้างพิเศษ 2.80 เมตร (110 นิ้ว)

ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผ้าเย็บผ้าม่านแต่ละชนิดได้ที่ 02 223 4828 บริษัท แฟบริค พลัส มีหน้าร้านอยู่ติดถนนพาหุรัด แหล่งต้นทุนและตลาดผ้าประเทศไทย Continue reading ผ้าม่านไร้รอยต่อ ทันสมัย ลวดลายต่อเนื่อง เย็บง่าย

ผ้าม่านสีพื้น เรียบหรู ยอดนิยม

ผ้าม่านสีพื้น 🧡🧡🧡 เข้ากับกับ Interior Design ทุกคอนเซ็ปต์ ผ้าม่านสีพื้นมีข้อดีอย่างไรบ้าง? ควรเลือกติดผ้าม่านสีพื้นหรือผ้าม่านแบบมีลวดลายดี?

ผ้าม่านสีพื้นคืออะไร ดีอย่างไร? ผ้าม่านสีพื้น หรือ ผ้าม่านลายพื้น คือ ผ้าม่านที่มีสีเดียวตลอดผืนและไม่มีการทอหรือการพิมพ์ลวดลายใดๆบนเนื้อผ้า พื้นผิวผ้าอาจมีเทกเจอร์หรือไม่มีเทกเจอร์ก็ได้ ผ้าม่านสีพื้นเป็นสไตล์ผ้าม่านยอดนิยมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เพราะเป็นสไตล์เรียบหรู ดูมีระดับ และสามารถใช้ได้กับการตกแต่งทุกแนว ไม่ว่าจะเป็น สไตล์คลาสสิก สไตล์โมเดิร์น สไตล์มินิมอลลิสต์ หรือ สไตล์คอนเท็มโพรารี่ ก็ใช้ได้หมด ในการเลือกติดผ้าม่านสีพื้นในบ้าน เราสามารถควบคุมสีภายในบ้านได้ง่าย เพราะมีเพียงสีเดียวที่เราต้องควบคุม การสร้างความสมดุลของสีสันภายในบ้านควรทำตามกฎ 60-30-10 บทความนี้จะขยายคอนเซ็ปต์ของการเลือกสีผ้าม่านให้สอดคล้องกับอินทีเรียดีไซน์ภายในบ้าน ผ้าม่านสีพื้นสามารถใช้จับคู่กับสีเฟอร์นิเจอร์หรือสีเครื่องประดับภายในบ้านได้ง่าย ทำให้สามารถสร้างความสมดุลได้ง่ายด้วยเช่นกัน

ผ้าม่านสีพื้นมีหลายตัวเลือก: ผ้าม่านสีพื้นจะมีหลากหลายเนื้อ รวม เนื้อเงา เนื้อด้าน เนื้อขน เนื้อกระสอบ เนื้อเทกเจอร์ เป็นต้น การเลือกใช้ระหว่างผ้าม่านเนื้อเงาหรือเนื้อด้านจะอยู่ที่รสนิยมและความต้องการของแต่ละบุคคล ถ้าเราอยากให้บ้านเข้าคอนเซ็ปต์ Elegant แบบเรียบหรู ออกแนว “Minimalist” ควรเลือกใช้ผ้าม่านเนื้อด้าน ถ้าอยากให้บรรยากาศภายในห้องดู Flashy สว่างตา ควรเลือกติดผ้าม่านเนื้อเงา ผ้าม่านเนื้อกระสอบจะออกแนว “Retro” ดูคลาสสิก ลายกระสอบเป็นลายผ้าเย็บผ้าม่านยอดนิยมในโรงแรมระดับไฮเอนด์ เพราะเป็นเนื้อผ้าที่ดูไฮคลาส “Stylish” และดูมีระดับอย่างยิ่ง ผ้าเนื้อกระสอบที่ทออย่างหนาแน่นจะสามารถใช้เป็นผ้าหุ้มเบาะและผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วย ทำให้การตกแต่งเข้าคอนเซ็ปต์รวกเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เพราะเราสามารถใช้ผ้าเย็บผ้าม่านและผ้าหุ้มเบาะตัวเดียวกันได้ ไม่จำเป็นต้องหาผ้าสองเนื้อและสองสีมาแมทช์กันให้ยากลำบาก

ผ้าม่านสีพื้น เหมาะกับผ้าม่านทุกรูปแบบ: ผ้าม่านสีพื้น หรือ ผ้าม่าน Mono-Tone สามารถใช้ตัดเย็บผ้าม่านในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ผ้าม่านจีบ ผ้าม่านตาไก่ ผ้าม่านพับ ผ้าม่านคอกระเช้า ผ้าม่านหลุยส์ เป็นต้น เพราะผ้าม่านสีพื้นเป็นสไตล์ “All Purpose” เข้าได้กับทุกคอนเซ็ปต์ สามารถใช้ได้กับทุกสไตล์ ถ้าวิเคราะห์เปรียบเทียบความต้องการของตลาดผ้าม่านในประเทศไทยแล้ว ผ้าม่านจีบและผ้าม่านตาไก่เป็นสองสไตล์ยอดนิยม รองลงมาคือผ้าม่านพับและผ้าม่านหลุยส์ แต่เราจะสังเกตได้ว่าไม่ว่าจะเลือกผ้าม่านในรูปแบบใด ผ้าม่านสีพื้นจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งเสมอ เพราะเป็นดีไซน์ผ้าที่ไม่มีวันตกยุค สามารถใช้ได้ตลอดกาลอย่างแท้จริง

ประวัติการใช้ผ้าม่านสีพื้น: การเลือกใช้ผ้าม่านสีพื้นเริ่มตั้งแต่ยุค 3100 BC ชาวอียิปต์เป็นผู้คิดค้นวิธีการสร้างความเป็นส่วนตัวเวลาอยู่บ้าน พวกเขาจะเย็บผ้าม่านจากขนสัตว์ ผ้าม่านในสมัยนั้นจะใช้เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว สำหรับกั้นห้องระหว่างกลาง และเพื่อแบ่งแยกห้องตามสัดส่วนและวัตถุประสงค์ อย่างเช่น แบ่งโซนห้องทำอาหารจากโซนห้องนอน เป็นต้น หลังจากนั้นในยุคสมัย 6 BC ชาวยุโรปก็เริ่มมาใช้ผ้าม่านด้วยเช่นกัน ชาวยุโรปใช้ผ้าม่านเพื่อป้องกันลมหนาวและความเย็นจากภายนอก ผ้าม่านที่ใช้จะถักทอด้วยเส้นด้ายคอตตอนสีพื้น (ผ้าฝ้าย) และผ้าลินินสีพื้น ผ้าม่านแบบทอลวดลายเริ่มมาฮิตหลังจากที่คนจีนนำผ้าม่านมาใช้ในประเทศ ผ้าม่านที่คนจีนนิยมใช้คือผ้าที่ถักทอด้วยผ้าไหมจีน มีลวดลายโดดเด่น เน้นสีสันตามความเชื่อในฮวงจุ้ย แม้กระนั้น ความนิยมในการใช้ผ้าม่านสีพื้นก็ไม่เคยลดลง กลับมาสู่ยุคปัจจุบัน จากการวิเคราะห์ตลาดผ้าม่านและพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เราจะสังเกตได้ว่าผ้าม่านสีพื้นยังคงเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง เหมาะใช้กับการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ซึ่งเป็นสไตล์ที่มาแรงที่สุดตั้งแต่ช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาถึงทุกวันนี้

การเลือกสีผ้าม่านให้เข้าคอนเซ็ปต์: การเลือกให้สีผ้าม่านเหมาะสมกับ Interior Design ควรดูที่สีของวอลเปเปอร์/ผนังห้อง สีเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องประดับต่างๆในห้อง ในการเลือกสีผ้าม่านให้เข้ากับห้อง เราไม่จำเป็นต้องเลือกสีผ้าม่านเดียวกันกับสีเฟอร์นิเจอร์หรือสีวอลเปเปอร์ สิ่งที่สำคัญ คือ สีผ้าม่านต้องสามารถจับคู่หรือ “แมทช์” กับสีผนังห้องหรือสีเฟอร์นิเจอร์ได้ อย่างเช่น ผ้าม่านสีเทาสามารถใช้กับวอลล์เปเปอร์สีขาว สีครีม สีควันบุหรี่ สีฟ้า สีม่วง เป็นต้น การเลือกสีผ้าม่านเดียวกับสีวอลล์เปเปอร์จะทำให้ผ้าม่านกลมกลืนกับผนังห้อง และทำให้ห้องดูจืดชืด ไม่มีสีสัน การเลือกสีผ้าม่านให้ตัดกับสีผนังห้องเล็กน้อยจะช่วยทำให้บรรยากาศภายในห้องดูมีสีสัน มีชีวิตชีวา ตามสำนวนภาษาอังกฤษที่นักออกแบบจะชอบใช้กัน “Bring Your Room to Life” หรือ “Add Life to Your Room” เลือกผ้าม่านที่ทำให้ห้องดูมีเสน่ห์และมีชีวิตชีวามากขึ้น

ผ้าม่านสีพื้นและความสมดุลของสีภายในบ้าน: องค์ประกอบสำคัญที่ไม่ควรลืมคือความสมดุลของสีสันภายในห้อง วิธีที่ดีที่สุดคือการตกแต่งบ้านด้วยกฎสี “60-30-10” เพราะเป็นกฎที่ได้รับการยอมรับจากนักออกแบบทั่วโลกว่าสามารถสร้างความสมดุลของสีสันภายในห้องได้อย่างลงตัวที่สุด จากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับการทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูมีมิติ “Fresh” และมีชีวิตชีวามากขึ้น อย่างเช่น การเพิ่มกระจกในห้อง การเพิ่มหลอดไฟในบ้าน การจัดเฟอร์นิเจอร์ให้สอดคล้องกับช่องทางเดิน เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับการเดินในบ้าน การแต่งผนังห้องด้วยงานศิลปะ การนำพรรณไม้มาปลูกในบ้าน เป็นต้น และแน่นอน การเลือกใช้ผ้าม่านที่เหมาะสมจะมีอิทธิพลต่อบรรยากาศห้องด้วยเช่นกัน

เลือกผ้าม่านสีพื้นหรือผ้าม่านที่มีลวดลายดี? โดยทั่วไป ผ้าม่านที่มีลวดลายจะทำให้ห้องดูมีสีสัน ไม่จืดชืด แต่ถ้าผ้าม่านมีลวดลายมากเกินไป ก็จะทำให้ห้องดูรกหูรกตา ผ้าม่านสีพื้นจะทำให้บรรยากาศภายในห้องดูสงบและสามารถช่วยยกระดับคุณภาพของการพักผ่อน ให้เรารู้สึก Relax ผ่อนคลายง่ายขึ้นเวลาอยู่บ้าน

“ผ้าม่านคือหน้าตาของบ้าน”: ไม่ว่าเราอยากได้ผ้าม่านที่มีลวดลายหรือสีพื้น ถ้าอยากให้บรรยากาศภายในบ้านมีความสมดุล เราควรเลือกสีผ้าม่านที่เข้าคอนเซ็ปต์ตามกฎ “60-30-10” ตามกฎนี้ ส่วนใหญ่ผ้าม่านจะเป็นสีกลาง (อยู่ในกลุ่ม “30”) ซึ่งก็คือสีที่ช่วยตัดกับสีหลัก (ในกลุ่ม “60”) นั่นเอง แต่ก็มีบ้านหลายหลังที่เลือกใช้สีผ้าม่านเป็นสีหลักด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ผ้าม่านเป็นสีหลักหรือสีรอง สิ่งที่สำคัญคือความสมดุล เพราะการสร้างความสมดุลของสีสันภายในบ้านจะทำให้บ้านดูสดชื่น สบายตา และน่าอยู่

เลือกสีผ้าม่านที่ถูกใจ: สิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ควรลืม คือ ให้เลือกสีผ้าม่านที่ถูกใจเรามากที่สุด เพราะเราคือผู้อาศัยที่อยู่บ้านและต้องเห็นผ้าม่านทุกวัน เพราะฉะนั้น ควรเลือกสีผ้าม่านที่ทำให้เรามีความสุขเวลาได้เห็นมันทุกๆครั้ง แต่ละห้องในบ้านไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าม่านสีเดียวกัน โดยทั่วไป ถ้าบ้านมีสองชั้น ผ้าม่านในชั้นล่างจะใช้สีเดียวกันทั้งหมด อย่างเช่น ผ้าม่านในห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น และห้องทานอาหารจะใช้ผ้าตัวเดียวกัน (มีเฉพาะห้องพระที่สามารถเลือกผ้าม่านที่ต่างกันได้ ผ้าม่านในห้องพระส่วนใหญ่จะใช้โทนสีทอง) ส่วนชั้นบนจะสามารถแบ่งสีผ้าม่านเป็นห้องๆได้ อย่างเช่น ห้องนอนแรกอาจเลือกใช้ผ้าม่านสีเขียว ห้องนอนที่สองอาจเลือกใช้ผ้าม่านสีฟ้า ส่วนห้องนอนที่สามอาจเลือกใช้ผ้าม่านสีชมพู เป็นต้น

ผ้าม่านในห้องนอน: การเลือกสีผ้าม่านสำหรับแต่ละห้องนอนจะอยู่ที่ความต้องการของเจ้าของห้อง และไม่จำเป็นต้องเหมือนหรือคล้ายกับผ้าม่านในห้องอื่นๆ เจ้าของห้องบางคนเลือกแต่งผ้าม่านให้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องประดับในห้อง เพื่อสร้างความสมดุลให้ห้องมีเสน่ห์ลงตัว แต่ก็จะมีหลายคนที่ต้องการสีผ้าม่านที่แหวกแนว เข้ากับคอนเซ็ปต์ส่วนตัว และเป็นสไตล์ของตัวเอง อย่างเช่น ผ้าม่านสีดำ ผ้าม่านสีกรม ผ้าม่านสีเงิน ที่อาจไม่สอดคล้องกับสีสันภายในห้องแต่อย่างใด แต่เนื่องจากการที่ห้องนอนเป็นสถานที่ส่วนตัว การเลือกสีผ้าม่านจึงไม่จำเป็นต้องเข้าคอนเซ็ปต์ก็ได้ แต่จะอยู่ที่ความพึงพอใจของเจ้าของห้องมากกว่า อย่าลืมว่า ผ้าม่านที่ดีคือผ้าม่านที่มอบความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย ไม่ใช่ผ้าม่านที่ทำตามหน้าปกนิตยสารการตกแต่งบ้าน การแต่งบ้านให้ดูสวยและน่าอยู่สำหรับตัวเราเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบ้านคือสถานที่ที่มอบความสุขให้กับเรามากที่สุด

ร้านผ้าม่าน ATM Decor บริษัท แฟบริค พลัส มีจำหน่ายผ้าเย็บผ้าม่านสีพื้นหลากหลายชนิด หลายสี หลายดีไซน์ ผ้าม่านสีพื้นจะมีทั้งแบบปกติและแบบเนื้อป้องกันUV ผ้าม่านกันUVคือผ้าที่ถักทอด้วยเส้นด้าย High Density Black Yarn ผ้าม่านสีพื้นแบบรุ่นป้องกันUVที่เราจำหน่ายเป็นผ้าม่านที่ฮิตในตลาดมาก เพราะมีเทกเจอร์ 3 มิติในตัว ทำให้ผ้าม่านดูสวยงาม มีมิติมากกว่าผ้าม่านพื้นธรรมดาทั่วไป หน้าร้านผ้าม่าน ATM Decor อยู่ติดถนนพาหุรัด แหล่งต้นทุนและตลาดผ้าประเทศไทย

ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับผ้าม่านสีพื้นได้ที่ 02 223 4828 หน้าร้านจะมีผ้าทำผ้าม่านสีพื้นหลายเนื้อให้เลือก รวม ผ้าม่านเนื้อซาติน ผ้าม่านเนื้อขน ผ้าม่านเนื้อกระสอบ ผ้าม่านเนื้อเทกเจอร์ และอื่นๆอีกมากมาย สำหรับใครที่ชอบผ้าม่านลายดอกไม้ ผ้าม่านทูโทน ผ้าม่านลายกราฟฟิก ผ้าม่านลายหลุยส์ ผ้าม่านลายริ้ว ฯลฯ เรามีหลายสีหลายลายให้เลือกเช่นกัน ที่ บริษัท แฟบริค พลัส มีผ้าม่านให้เลือกเติมอิ่มจุใจอย่างแน่นอน Continue reading ผ้าม่านสีพื้น เรียบหรู ยอดนิยม